ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2560

บทที่ ๓

บทที่ ๓
วิธีการดำเนินงาน

                การวิจัยเรื่องการศึกษาแนวทางการแก้ปัญหานักเรียนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านงิ้วสูง  ผู้วิจัยนำเสนอข้อมูลและแนวทางการดำเนินการในประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
                ประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย
                 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
                การสร้างและการหาประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
                 กระบวนการพัฒนา
                  . วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
                  . การเก็บรวบรวมข้อมูล
                 การวิเคราะห์ข้อมูล
                  . สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

ประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย
               
ในการวิจัยในครั้งนี้ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เป็นการทำงานระหว่างผู้วิจัยกับผู้เกี่ยวข้องในการศึกษาสาเหตุแนวทางการแก้ปัญหานักเรียนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑  ซึ่งกลุ่มประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย และผู้ที่ให้ข้อมูลประกอบการวิจัย ดังนี้
                ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
                ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยใน ระยะที่ - เกี่ยวข้องกับประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
                ระยะที่  ศึกษาสาเหตุปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 

๗๙
                 ประชากรได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่  โรงเรียนบ้านงิ้วสูง  อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ ภาคเรียนที่  ปีการศึกษา๒๕๕๙  จำนวน ๑๒ คน
                กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่  ที่มีปัญหาการอ่านและการเขียนภาษาไทย โรงเรียนบ้านงิ้วสูง  ปีการศึกษา ๒๕๕๙  จำนวน ๑๒ คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากนักเรียนที่มีทักษะความสามารถในการอ่านและเขียนภาษาไทยเป็นคำประโยค และเรื่องราวต่าง ๆ ที่กำหนดตามเนื้อหาในระดับชั้นที่เรียนต่ำกว่าร้อยละ ๖๐
                ระยะที่  ศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีปัญหาการอ่านและการเขียนภาษาไทย โรงเรียนบ้านงิ้วสูง ปีการศึกษา ๒๕๕๙   จำนวน ๑๒ คนได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
                 ระยะที่  ศึกษาผลกิจกรรมการสอนซ่อมเสริมโดยใช้แบบฝึกทักษะกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีปัญหาการอ่านและการเขียนภาษาไทย โรงเรียนบ้านงิ้วสูง ปีการศึกษา ๒๕๕๙  จำนวน ๑๒ คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
                ผู้ร่วมวิจัย จำนวน ๗  คน

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

                การศึกษาแนวทางการแก้ปัญหานักเรียนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนบ้านงิ้วสูง มีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ดังนี้
                 ระยะที่ ๑ ศึกษาสาเหตุปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ เป็นการสำรวจข้อมูลพื้นฐานนักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เพื่อจะได้ข้อมูลและสภาพปัญหา
                เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์การอ่านและการเขียนภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จำนวน ๔๐ ข้อ ที่สร้างขึ้น (ใช้ทดสอบก่อนเรียน เพื่อคัดนักเรียนอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ ที่ได้คะแนนต่ำกว่าร้อยละ ๖๐ ของคะแนนเต็ม)
                ระยะที่ ๒ ศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนบ้านงิ้วสูง มีกระบวนการละเอียดดังนำเสนอในกระบวนการพัฒนาครูกลุ่มสาระการเรียนรู้

๘๐
ภาษาไทย แล้วจัดสอนซ่อมเสริมในคาบสอนซ่อมเสริมของวันศุกร์ คาบที่ ๑-๒ ของระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โดยกลุ่มตัวอย่างทั้ง ๑๒ คน
                ๑. ครูผู้สอนซ่อมเสริมพร้อมกัน ๗  คน โดยครูคนที่ ๑ นำเสนอเนื้อหาหรือหลักการอ่านและเขียนภาษาไทยแต่ละเรื่อง ที่หน้าชั้นเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ และสื่ออื่น ๆ เช่น เกม บัตรคำภาพประกอบ สื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ส่วนครูคนที่ ๒-๗ ดูแลช่วยเหลือเกี่ยวกับการอ่านและการเขียนแก่นักเรียนแต่ละกลุ่ม (สอนในรูปทีม) ประกอบด้วย
 ๑.  นางสาวดวงลดา จุมปาดง
 ๒.  นางสาวจามจุรีย์ วงค์จิรโชติ
 ๓.   นางสาวสุพัตรา งามจิตเจริญ
 ๕.   นางสาวสุดาพร ชาญพนากุล
 ๕.   นางสาวพิมพ์อัปสร พูนฟัก
 ๖.    นางสาวศุภาพิชญ์ โชคชัยร่วมสกุล
 ๗.    นางสาวลลิตา อุดก้อน
๒. ประชุมคณะกรรมการดำเนินงานสอนซ่อมเสริม สัปดาห์ละ ๑ ครั้ง ในวันอังคารคาบที่ ๗-๘ เพื่อร่วมกันแก้ไขปรับปรุงการแก้ไขและสนับสนุนการสอนซ่อมเสริมซึ่งคณะกรรมการดำเนินงาน ส่วนเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ
                ๑. แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสำหรับนักเรียนที่มีปัญหาการอ่านและการเขียนภาษาไทย จำนวน ๕ ชุด
                 ๒. แผนการจัดการเรียนรู้ที่เป็นคู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสำหรับนักเรียนที่มีปัญหาการอ่านและการเขียนภาษาไทย จำนวน ๒๐ แผน ๒๐ ชั่วโมง
                ระยะที่ ๓ ศึกษาผลกิจกรรมการสอนซ่อมเสริมโดยใช้แบบฝึกทักษะ การดำเนินการในระยะนี้ เป็นการหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะด้วยการนำไปปฏิบัติจริงกับกลุ่มตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ

๘๑
                 ๑. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การอ่านและการเขียนภาษาไทย จำนวน ๔๐ ข้อ (ใช้ทดสอบหลังเรียน)
                 ๒. แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการอ่านและการเขียนสำหรับนักเรียนที่มีปัญหาการอ่านและการเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียน จำนวน ๑๐ ข้อ

การสร้างและการหาประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

                แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีขั้นตอนการสร้างและหาคุณภาพ คือ
 . ศึกษาหลักการ ทฤษฏี เอกสารและตำรา ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบทดสอบเพื่อกำหนดกรอบแนวคิดและโครงสร้างของแบบทดสอบ
 . พิจารณาและคัดเลือกคำจากบัญชีคำพื้นฐานในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ งานด้านการวัดผลประเมินผล จิตวิทยาการศึกษา และครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่  ที่มีประสบการณ์ในการสอนเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและโครงสร้างแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ
 . ดำเนินการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การอ่านและการเขียนภาษาไทย จำนวน ๔๐ ข้อ ชนิดปรนัย ๔ ตัวเลือก
                แบบฝึกทักษะการอ่านเขียนภาษาไทย  มีขั้นตอนการสร้างและหาคุณภาพ ดังนี้
 . ศึกษาเอกสาร ตำรา คู่มือครู แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการสร้างชุดกิจกรรมและแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียน รวมทั้งการจัดการเรียนการสอนการอ่านและการเขียน เพื่อกำหนดขอบเขตและรูปแบบของแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียน
. พิจารณาคัดเลือกคำจากบัญชีคำตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้จำนวน  หน่วย คือ
                หน่วยที่ ๑ ทักษะการอ่าน
                หน่วยที่ ๒ ทักษะการเขียน

การเก็บรวบรวมข้อมูล
๘๒
                การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดระยะเวลาในการวิจัยไว้ ๓ ระยะ คือ
                ระยะที่ ๑ ศึกษาสาเหตุปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑
                 ระยะที่ ๒ ศึกษาแนวทางวิธีการรูปแบบการแก้ปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้
                ระยะที่ ๓ ศึกษาผลกิจกรรมการสอนซ่อมเสริมโดยใช้แบบฝึกทักษะ รายละเอียดการดำเนินการวิจัย ดังต่อไปนี้
                ระยะที่ ๑ ศึกษาสาเหตุปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ เก็บข้อมูลจากการทดสอบผลสัมฤทธิ์การอ่านการเขียนจากแบบทดสอบที่สร้างขึ้นการสังเกต การสอบถาม และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวนักเรียนรายบุคคล
                ระยะที่ ๒ ศึกษาแนวทางวิธีการรูปแบบการแก้ปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ดำเนินการเก็บข้อมูล ดังนี้
                 ๑. ครูผู้สอนจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้แบบฝึกการอ่านและเขียนภาษาไทยและจัดทำสื่อประกอบการสอนตามแนวทางที่กำหนดในแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
                ๒. นำแบบทดสอบการอ่านและการเขียนก่อนและหลังเรียน เรื่องไปทดสอบกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ก่อนได้รับการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย
                ๓. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การอ่านและการเขียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ด้านการอ่านและการเขียนภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีปัญหาด้านการอ่านและเขียน ด้วยชุดพัฒนาการอ่านการเขียนภาษาไทย
                ระยะที่ ๓ ศึกษาผลกิจกรรมการสอนซ่อมเสริมโดยใช้แบบฝึกทักษะ โดยการนำผลการวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งแบบสถิติและพรรณนาวิเคราะห์ไปหาข้อสรุปเพื่อเป็นข้อมูลในการวิจัยต่อไปการวิเคราะห์ข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษาแนวทางการแก้ปัญหานักเรียนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนบ้านงิ้วสูง ผู้วิจัยดำเนินการจัดกระทำและการวิเคราะห์ข้อมูล เป็น ๓ ระยะ คือ               ระยะที่ ๑ ศึกษาสาเหตุปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑
                ระยะที่ ๒ ศึกษาแนวทางวิธีการรูปแบบการแก้ปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้
๘๓
                ระยะที่ ๓ ศึกษาผลกิจกรรมการสอนซ่อมเสริมโดยใช้แบบฝึกทักษะ โดยใช้โปรแกรม Microsoft Excell
                 ระยะที่ ๑ ผลการศึกษาศึกษาสาเหตุปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ
                ระยะที่ ๒ ผลการ ศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เป็นการพรรณนาวิเคราะห์โดยใช้ค่าร้อยประกอบ
                ระยะที่ ๓ ศึกษาผลการแก้ปัญหาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เกี่ยวกับ
                ๑. วิเคราะห์ประสิทธิภาพของกิจกรรมการแก้ปัญหาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ โดยใช้แบบฝึกทักษะด้วยการหาประสิทธิภาพของกระบวนการ/ผลลัพธ์ (E1/E2) แล้วนำมาเทียบกับเกณฑ์ คือ
                 ค่า E1/E2 ระดับประสิทธิภาพของกิจกรรม
                 ๘๐.๕๑-๑๐๐ สูงกว่าเกณฑ์
                 ๗๐.๕๑-๘๐.๕๐ เท่ากับเกณฑ์
                 ๐.๐๐-๗๐.๕๐ ต่ำกว่าเกณฑ์
                 ๒. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเกี่ยวกับอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ โดยการทดสอบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ด้วยการทดสอบค่า t แบบกลุ่มไม่อิสระ
                ๓. ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการแก้ปัญหาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ด้วยค่าเฉลี่ย ( X ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วนำค่าเฉลี่ยมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด คือ (บุญชม ศรีสะอาด. ๒๕๕๓ : ๑๐๕)
                 ค่าเฉลี่ย ระดับความพึงพอใจ
                 ๔.๕๑-๕.๐๐ มากที่สุด
                ๓.๕๑-๔.๕๐ มาก
                 ๒.๕๑-๓.๕๑ ปานกลาง
                 ๑.๕๑-๒.๕๐ น้อย        
๘๔
                 ๑.๐๐-๑.๕๐ น้อยที่สุด
                
สถิติพื้นฐาน
                
                 ๓.๑ ร้อยละ (Percentage)
                โดยใช้สูตร ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด. ๒๕๕๓ : ๑๐๔)
                                                 P =
                เมื่อ แทน ร้อยละ
                f แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ
                 N แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด
.๒ ค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) โดยใช้สูตรดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด. ๒๕๕๓ : ๑๐๕)
                                               
               
                เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ย
                å X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม
                N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม
 .๓ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้สูตรดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด. ๒๕๕๓ : ๑๐๖)
                               
 เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
 Sแทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
   แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกำลังสอง

แทน จำนวนนักเรียน 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น