บทที่ 5
สรุปผลการศึกษา
และข้อเสนอแนะ
การวิจัยเรื่อง
การศึกษาแนวทางการแก้ปัญหานักเรียนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
๑ โรงเรียนบ้านงิ้วสูง อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ สรุปผลการศึกษา
และข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑.สรุปผลการศึกษา
ระยะที่ ๑ ศึกษาสาเหตุปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่
๑ เก็บข้อมูลจากการทดสอบผลสัมฤทธิ์การอ่านการเขียนจากแบบทดสอบที่ สร้างขึ้น
การสังเกต การสอบถาม และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวนักเรียนรายบุคคล พบว่า
(๑)
นักเรียน คือ
ขาดเรียนบ่อย อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จำตัวอักษรไม่ได้ พูดไม่ชัด
ขี้เกียจในการอ่านการเขียน จำตัวอักษรได้เป็นบางตัวแต่อ่านเป็นคำที่มีหลายคำไม่ได้
เด็กบกพร่องทางการเรียนรู้ เช่นสมาธิสั้น
(๒)
เด็กวันนี้สมาธิสั้น
ภาพอิเล็กทรอนิกส์จะกระตู้นภาวะการรับรู้ของเด็กให้เคลื่อนที่เร็วตลอดเวลา
ส่งผลให้เกิดภาวะจิตเร็วหรือจิตไม่นิ่งตั้งแต่วัยเด็กเล็ก
(๓) ครอบครัว
คือ ขาดความอบอุ่นในครอบครัว ครอบครัวมีฐานะยากจน ครอบครัวขาดความอบอุ่น พ่อแม่หย่าร้างกัน
อาศัยอยู่กับตายายหรือญาติที่ไม่ให้ความสนใจในด้านการอ่านการเขียน ไม่ได้รับ การฝึกอ่านฝึกเขียนจากครอบครัว
สมาชิกในครอบครัวเกือบทุกคนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
(๔) ครูผู้สอน คือ ระดับประถมศึกษานักเรียนไม่ได้รับการฝึกทักษะอ่านฝึกเขียนจากครูที่ดีพอ
ครูมีภาระการสอนมากและมีงานพิเศษอื่นมากจึงไม่ค่อยเรียน
ระยะที่ ๒ ศึกษาแนวทางวิธีการรูปแบบการแก้ปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้
ดำเนินการเก็บข้อมูล พบว่า แนวทางที่แก้ปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้
โดยการสอน ซ่อมเสริมด้วยแบบฝึกซ่อมเสริมการอ่านและการเขียนตามขั้นตอนจากง่ายไปหายาก
คือ
(๑) การอ่าน ด้วยอ่านคำประกอบภาพ
อ่านประโยคความเดียวประกอบภาพ อ่านประโยคความรวมประกอบภาพ นำประโยคความรวมมารวมกันเป็นข้อความเพื่ออ่านทบทวนข้อความโดยไม่มีภาพประกอบ
อ่านบทร้อยกรองและตอบคำถามจากบทร้อยกรองที่อ่าน
(๒) การเขียน ด้วยการโยงคำกับภาพ เติมพยัญชนะหรือสระ เขียนคำจากภาพ เติมคำให้เป็นประโยค
แต่งประโยคจากภาพ เลือกเติมคำ ในช่องว่าง เขียนเรื่องจากภาพ และเขียนเรื่องตามจินตนาการ
๘๘
รวมทั้งกระบวนการดำเนินงานแก้ไข ผู้วิจัยร่วมกับคณะกรรมการดำเนินงานด้วยกิจกรรมที่สำคัญ
คือ การสอนซ่อมเสริมทุกวันพุธ ที่ห้องปฏิบัติการภาษาไทย ครูร่วมกันสอน ซ่อมเสริม ๓
คน โดยครูคนที่ ๑ นำเสนอเนื้อหาหรือหลักการอ่านและเขียนภาษาไทยแต่ละเรื่อง ที่หน้าชั้นเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ
และสื่ออื่น ๆ เช่น เกม บัตรคำ ภาพประกอบ สื่อคอมพิวเตอร์ ส่วนครูคนที่ ๒-๓ ดูแลช่วยเหลือเกี่ยวกับการอ่านและการเขียนแก่นักเรียนแต่ละกลุ่ม
(สอนในรูปทีม) การประชุมคณะกรรมการดำเนินงานสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง
เพื่อร่วมกันแก้ไขปรับปรุงการ แก้ไข การสนับสนุนการสอนซ่อมเสริม และสะท้อนผลกลับให้การดำเนินงานมีกิจกรรมที่เหมาะสม
ยิ่งขึ้น ตลอดจนคณะกรรมการดำเนินงานได้เพิ่มเติมกิจกรรมการอ่านและเขียนให้ครูผู้สอนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ ๑ ทุกคนและทุกรายวิชา
ได้เพิ่มจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนทุกชั่วโมง ที่สอน
รวมทั้งร่วมกับห้องสมุดโรงเรียนจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านแก่นักเรียนทุกระดับชั้น เพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านและปลูกฝังกระบวนการเรียนรู้ที่ยั่งยืน
ระยะที่ ๓
ศึกษาผลการจัดกิจกรรมแก้ปัญหาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
๑ โรงเรียนบ้านงิ้วสูง ประกอบด้วย
๑.
ประสิทธิภาพของ การจัดกิจกรรมแก้ปัญหาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
มีค่าเท่ากับ ๘๐/๗๖ สูงกว่าเกณฑ์ ๗๐
๒.
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนจากการจัดกิจกรรม แก้ปัญหาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านออกเขียนได้หลังการจัด กิจกรรมสูงกว่าก่อนจัดกิจกรรม
๓. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการแก้ปัญหาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก รายข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ชอบแบบฝึกทำให้นักเรียนสนุกสนานกับ
การเรียนเกี่ยวกับการอ่านและเขียนภาษาไทยได้คล่องแคล่วยิ่งขึ้น รองลงมา คือ
ชอบที่การจัด กิจกรรมช่วยให้นักเรียนได้ฝึกวิธีการอ่านและเขียนภาษาไทยที่ถูกต้องและมั่นใจในการเรียนรู้
ของตัวเองยิ่งขึ้น รายข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ
นักเรียนชอบที่ได้รับทราบและปรับปรุงการเรียนรู้ จากการจัดกิจกรรมการแก้ปัญหาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ในแต่ละชั่วโมง
รองลงมา คือ นักเรียน ชอบเรียนรู้ด้วยตนเองด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทยในแต่ละชุด
๒. ข้อเสนอแนะ
๒.๑ ข้อเสนอแนะในการนำนโยบายสู่การปฏิบัติและติดตามผล
๘๙
๒.๑.๑ ควรนำผลการวิจัยในครั้งนี้ไปใช้กับผู้เรียนที่มีปัญหาในการอ่านและ
การเขียนภาษาไทย ควรปรับใช้ให้เหมาะสมกับความสามารถและสภาพความพร้อมที่จะได้รับการ
พัฒนาที่แตกต่างกัน
๒.๑.๒ ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ควรพิจารณาความเหมาะสมด้านเวลา เพื่อให้ โอกาสกับผู้เรียนอย่างเต็มที่ในการฝึกอ่านและฝึกเขียนตามลำดับ
เพราะการเรียนรู้ภาษาต้องให้เวลา ในการทบทวนและฝึกซ้ำๆ ด้วยตนเอง
๒.๑.๓ ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ควรสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ที่ทำให้
ผู้เรียนกลุ่มดังกล่าวมีเจตคติที่ดีต่อการเรียน ไม่เกิดความอายหรือเป็นปมด้อย
เพราะถ้าผู้เรียน มีเจตคติที่ดีแล้ว การเรียนรู้ก็จะประสบผลสำเร็จ
๒.๑.๔ ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ
ควรมีการส่งเสริมให้หน่วยงานอื่นให้การ สนับสนุนด้านปัจจัยในการดำเนินโครงการอ่านออกและเขียนได้แก่สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
๒.๑.๕ ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ)
ควรมีนโยบาย มาตรการ และแนวทางการดำเนินงานโครงการอ่านออกและเขียนได้อย่างต่อเนื่องทุกปี
และมีการ กระตุ้นเสริมแรงอยู่เสมอ
๒.๑.๖ ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาควรมีการกำกับ ติดตาม และให้การนิเทศ อย่างใกล้ชิดในการดำเนินโครงการพัฒนาการอ่านออกและเขียนได้แก่นักเรียนแต่ละโรงเรียน
โดยเฉพาะในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
๒.๑.๗ ผู้บริหารโรงเรียนควรให้ความสำคัญและสร้างความตระหนักให้ครูผู้สอนได้ บูรณาการการอ่านในกระบวนการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผลในทุกรายวิชาอย่างจริงจัง
รวมทั้งมีการนิเทศ ติดตามอย่างต่อเนื่อง และจัดหาปัจจัยในการดำเนินงานที่เหมาะสมและเพียงพอ
๒.๒ ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป
๒.๒.๑ ควรมีการสร้างสื่อพัฒนาทักษะในการอ่านและการเขียน
โดยใช้กระบวนการ ทางเทคโนโลยีที่น่าสนใจ ใช้งานง่าย มีหน่วยการเรียนที่สั้น
มีขั้นตอนที่ชัดเจน เพื่อพัฒนานักเรียนที่ มีปัญหาในการอ่านและการเขียนภาษาไทยเป็นรายบุคคลตามสภาพความสามารถของผู้เรียน
๒.๒.๒ ควรมีการส่งเสริมการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเทคนิคการสอนอ่านและเขียน ภาษาไทยที่ได้ผลดีสำหรับนักเรียนที่มีปัญหาด้านการอ่านและการเขียน
และเผยแพร่กระบวนการ ดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมให้ทุกโรงเรียน
๒.๒.๓ ควรศึกษาพัฒนารูปแบบการแก้ปัญหานักเรียนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
ร่วมกันระหว่างโรงเรียนที่เปิดสอนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สำหรับเป็นแนวทางการดำเนินงานที่มี
ประสิทธิภาพร่วมกัน
๙๐
๒.๒.๔ ควรมีการศึกษาการแก้ปัญหานักเรียนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ในสถานศึกษา ขั้นพื้นฐาน
หรือสถานศึกษาระดับอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหานักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ
และ เป็นการพัฒนางานประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนที่เหมาะสมและยั่งยืน
๒.๒.๕ ควรศึกษาการแก้ปัญหานักเรียนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้จากความร่วมมือ ของผู้ปกครองมากยิ่งขึ้น
เพราะผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญในการช่วยปลูกฝังและส่งเสริมการอ่าน และเขียนที่เหมาะสมให้แก่บุตรหลาน
และเป็นแบบอย่างได้เป็นอย่างดี
๒.๒.๖ ควรจัดหากิจกรรมหรือสื่อที่หลากหลายทั้งสื่อสิ่งตีพิมพ์
สื่อคอมพิวเตอร์ช่วย สอน และการอ่านและเขียนผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ให้มีจำนวนเพียงพอและเหมาะสมกับนักเรียน
เพื่อ กระตุ้นจูงใจและส่งเสริมให้นักเรียนมีความสนใจในการอ่านและเขียนที่ยั่งยืน เห็นความสำคัญของการ
อ่าน และพัฒนาการอ่านของตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรู้จักแสวงหาความรู้ด้านต่าง ๆ
ด้วยตนเอง ทำให้นักเรียนได้รับความรู้ ข้อมูล ข่าวสารใหม่ ๆ
ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงและ จะส่งเสริมให้นักเรียนอ่านออกเขียนคล่องตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น