ทฤษฎีการเรียนรู้
1.. การจัดโครงสร้างของความรู้ให้มีความสัมพันธ์และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก
มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก
2. การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับความพร้อมของผู้เรียน
และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนจะช่วยให้การเรียนรู้เกิดประสิทธิภาพ
3. การคิดแบบหยั่งรู้ (intuition) เป็นการคิดหาเหตุผลอย่างอิสระที่สามารถพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้
4. แรงจูงใจภายในเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้
5. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของมนุษย์ แบ่งได้เป็น 3 ขั้น
ใหญ่ๆ คือ
5.1 ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ (Enactive Stage) คือขั้นของการเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่างๆ
การลงมือกระทำช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดี การเรียนรู้เกิดจากการกระทำ
5.2 ขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic Stage) เป็นขั้นที่เด็กสามารถสร้างมโนภาพในใจได้
และสามารถเรียนรู้จากภาพ แทนของจริงได้
5.3 ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม (Symbolic Stage) เป็นขั้นการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนและเป็นนามธรรมได้
6. การเรียนรู้เกิดได้จากการที่คนเราสามารถสร้างความคิดรวบยอด
หรือสามารถสร้างหรือสามารถจัดประเภทของสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
7. การเรียนรู้ที่ได้ผลดีที่สุดคือการให้ผู้เรียนค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง (discovery
learning) การนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน
1. กระบวนการค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง
เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดีมีความหมายสำหรับผู้เรียน 2. การวิเคราะห์และจัดโครงสร้างเนื้อหาสาระการเรียนรู้ให้เหมาะสม
เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำก่อนการสอน
3. การจัดหลักสูตรแบบเกลียว (Spiral Curriculum) ช่วยให้สามารถสอนเนื้อหาหรือความคิดรวบยอดเดียวกันแก่ผู้เรียนทุกวัยได้
โดยต้องจัดเนื้อหาความคิดรวบยอดและวิธีสอน ให้เหมาะสมกับขั้นพัฒนาการของผู้เรียน
4. ในการเรียนการสอนควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดอย่างอิสระให้มาก
เพื่อช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน
5. การสร้างแรงจูงใจภายในให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็นสิ่งจำเป็นในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน
6. การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี
7. การสอนความคิดรวบยอดให้แก่ผู้เรียนเป็นสิ่งจำเป็น
8. การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเองสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี
3. ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญา
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญา
(Social Cognitive Learning Theory) เป็นทฤษฎีของศาสตราจารย์บันดูรา
แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford) ประเทศสหรัฐอเมริกา
บันดูรามีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนมากเป็นการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบ
และเนื่องจากมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์ (interact) กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ
ๆ ตัวอยู่เสมอบันดูราอธิบายว่าการเรียนรู้เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมในสังคม
ซึ่งทั้งผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อกันและกัน
ความคิดพื้นฐานของทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญา
1. บันดูรา ได้ให้ความสำคัญของการปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม
และถือว่าการเรียนรู้ก็เป็นผลของปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม
โดยผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อกันและกัน
บันดูราได้ถือว่าทั้งบุคคลที่ต้องการจะ
เรียนรู้และสิ่งแวดล้อมเป็นสาเหตุของพฤติกรรมและได้อธิบายการปฏิสัมพันธ์ ดังนี้
2. บันดูรา ได้ให้ความแตกต่างของการเรียนรู้ (Learning) และการกระทำ (Performance) ว่าความแตกต่างนี้สำคัญมาก
เพราะคนอาจจะเรียนรู้อะไรหลายอย่างแต่ไม่กระทำ บันดูราได้สรุปว่า
พฤติกรรมของมนุษย์อาจจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท
2.1 พฤติกรรมสนองตอบที่เกิดจากการเรียนรู้ ผู้ซึ่งแสดงออก หรือ กระทำสม่ำเสมอ
2.2 พฤติกรรมที่เรียนรู้แต่ไม่เคยแสดงออกหรือกระทำ
2.3 พฤติกรรมที่ไม่เคยแสดงออกทางการกระทำ เพราะไม่เคยเรียนรู้จริง ๆ
3. บันดูรา ไม่เชื่อว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจะคงตัวอยู่เสมอ
การประยุกต์ในด้านการเรียนการสอน
1. ตั้งวัตถุประสงค์ที่จะทำให้นักเรียนแสดงพฤติกรรม
หรือเขียนวัตถุประสงค์เป็นเชิงพฤติกรรม
2. ผู้สอนแสดงตัวอย่างของการกระทำหลายๆตัวอย่าง ซึ่งอาจจะเป็น คน การ์ตูน
ภาพยนตร์ วิดีโอ โทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ
3. ผู้สอนให้คำอธิบายควบคู่ไปกับการให้ตัวอย่างแต่ละครั้ง
4. ชี้แนะขั้นตอนการเรียนรู้โดยการสังเกตแก่นักเรียน เช่น
แนะให้นักเรียนสนใจสิ่งเร้าที่ควรจะใส่ใจหรือเลือกใส่ใจ
5.จัดให้นักเรียนมีโอกาสที่จะแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ
เพื่อจะได้ดูว่านักเรียนสามารถที่จะกระทำโดยการเลียนแบบหรือไม่
ถ้านักเรียนทำได้ไม่ถูกต้องอาจจะต้องแก้ไขวิธีการสอนหรืออาจจะแก้ไขที่ตัวผู้เรียนเอง
6.ให้แรงเสริมแก่นักเรียนที่สามารถเลียนแบบได้ถูกต้อง
เพื่อจะให้นักเรียนมีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้และเป็นตัวอย่างแก่นักเรียน
ทฤษฎีหลักสูตรสู่การสอนภาษาไทย
อุปสรรคสำคัญที่ทำให้การพัฒนาหลักสูตรและการสอนภาษาไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
นอกจากจะเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ค่านิยมของสังคมที่ไม่ให้ความสำคัญกับภาษาไทย
หรือการไม่สนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาการวิจัยด้านการสอนภาษาไทยของหน่วยงานต่างๆแล้ว ปัจจัยภายในที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่ครูภาษาไทยไม่สวมบทบาทของนักหลักสูตรและการสอน หรือกล่าวให้เข้าใจง่ายคือ
สังคมขาดแคลนครูสอนภาษาไทยที่เป็นนักวิจัยด้านการสอน การขาดแคลนองค์ความรู้ด้านหลักสูตรและการสอน
ทำให้เกิดช่องว่างระหว่าง “หลักสูตร” และ “การสอน” ช่องว่างดังกล่าวนี้เห็นได้จากการที่ครูภาษาไทยจำนวนหนึ่งสามารถสอนหนังสือโดยไม่ดูหลักสูตร
หรือเขียนหลักสูตรโดยไม่ได้สนใจว่าตนเองสอนอย่างไร
ทั้งนี้จะต้องสร้างความเข้าใจในเบื้องต้นเสียก่อนว่า การสอนเนื้อหาความรู้ที่กำหนดในหลักสูตรไม่ใช่การสอนตามหลักสูตร เพราะหลักสูตรไม่ได้หมายถึงเนื้อหาวิชาเท่านั้น แต่ยังมีความหมายรวมถึงประสบการณ์
กระบวนการและปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและผู้เรียนอีกด้วย
การขาดแคลนความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร
ทำให้วงการสอนภาษาไทยคุ้นชินกับการพัฒนาหลักสูตรเพียงกรอบเดียว กล่าวคือ
นับแต่ประเทศไทยมีหลักสูตรชาติและหลักสูตรภาษาไทยในระดับสถานศึกษา นักหลักสูตรของรัฐก็ได้ใช้กรอบแนวคิดการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์
ซึ่งเป็นแนวคิดของการพัฒนาหลักสูตรแบบเส้นตรง (linear model) ที่กำหนดคุณลักษณะหรือผลการเรียนรู้ในด้านความรู้และทักษะของผู้เรียนเป็นหลักมาโดยตลอด
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วยังมีกรอบทฤษฎีหลักสูตรอื่นๆ ที่สามารถจะนำมาปรับใช้เพื่อการพัฒนาหลักสูตรและการสอนภาษาไทยให้สอดคล้องกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งกรอบทฤษฎีหลักสูตรที่สำคัญ สามารถแบ่งได้ออกเป็น 5 กรอบทฤษฎี ได้แก่ ทฤษฎีหลักสูตรความต้องการของสังคมแบบเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง
ทฤษฎีหลักสูตรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของสังคม
ทฤษฎีหลักสูตรความต้องการของสังคมแบบเน้นเหตุผลและเทคนิค ทฤษฎีหลักสูตรความต้องการของสังคมและการปฏิรูปโครงสร้าง
และทฤษฎีหลักสูตรเหตุผลเชิงปรัชญาและวิชาการ แต่ละทฤษฎีมีแนวคิดสำคัญและอิทธิพลต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยดังนี้
(Marsh และ Willis, 2003: 104-107)
1. ทฤษฎีหลักสูตรความต้องการของสังคมแบบเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง
(social needs-child-centered)
นักหลักสูตรที่ได้เสนอทฤษฎีหลักสูตรความต้องการของสังคมและเน้นเด็กเป็นศูนย์กลางที่สำคัญ ได้แก่ Dewey (1900, 1902),
Kilpatrick (1918) และ Rugg (1927) โดยเฉพาะ
Dewey นั้น ได้เขียนหนังสือเล่มสำคัญคือ “The
School and Society” (1900) และ “The Child and
the Curriculum” (1902) เพื่อเสนอแนวคิดและความเชื่อของเขาเกี่ยวกับหลักสูตรที่ว่า
หลักสูตรของ ปัจเจกบุคคลย่อมสัมพันธ์กับบทบาทของโรงเรียนที่อยู่ภายในบริบทของสังคม
ตามทัศนะของ Dewey ประสบการณ์ทางสังคมของผู้เรียนเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาหลักสูตร
หรือใช้สำหรับจัดการเนื้อหาความรู้ต่างๆ เขาได้จัดตั้งโรงเรียนสาธิตหรือโรงเรียนห้องปฏิบัติการ
ณ มหาวิทยาลัยชิคาโก สำหรับเป็นที่ทดลองแนวคิดในการที่จะสร้างประสบการณ์ชีวิตตามความเป็นจริงในสังคมให้แก่ผู้เรียน
การเรียนการสอนของโรงเรียนสาธิตจึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับงานอาชีพต่างๆ
เช่น การทำอาหาร การทอผ้า การทำงานไม้และงานโลหะ
เป็นต้น ซึ่งต่อมา Kilpatrick ได้เสนอแนวคิดที่สอดคล้องกันคือ
ควรใช้หน่วยการทำงาน (unit of work) ในลักษณะของทำกิจกรรมหรืองานในหัวข้อหรือประเด็นที่ผู้เรียนสนใจ
เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา ทฤษฎีหลักสูตรของกลุ่มนี้
หลักสูตรก็คือประสบการณ์ซึ่งเกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างความคิดของผู้เรียนกับปัญหาที่ตนเองประสบ
และกระบวนการเรียนรู้ย่อมสำคัญกว่าเนื้อหาความรู้
หากครูภาษาไทยยอมรับและศรัทธาในทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มแรกนี้
สิ่งที่ครูภาษาไทยผู้นั้นต้องยอมรับหรือถือเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นก็คือ ครูจะต้องให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าเนื้อหา
และต้องใช้สิ่งแวดล้อมที่มีอยู่จริง ณ ขณะนั้นในวงการต่างๆ
มาเป็นสื่อสู่การเรียนรู้ภาษาไทย หรือก็คือการสอนจาก
“ของจริง” ดังนั้นครูในกลุ่มนี้จะไม่สนใจคำถามที่ว่า
คำใดเป็นคำเป็น คำใดเป็นคำตาย หรือข้อความใดเป็นอุปมาหรือมีโวหารภาพพจน์ชนิดใด
แต่พวกเขาจะสนใจว่านักเรียนสนใจเรื่องคำเป็นคำตายหรือไม่
นักเรียนมองเห็นความหมายของการเรียนรู้เรื่องคำเป็นคำตายหรือไม่ว่าเรียนไปเพื่ออะไร
ประโยชน์ของการเรียนรู้คำเป็นคำตายคืออะไร หรือในชีวิตประจำวันมีการใช้โวหารภาพพจน์ในสื่อประเภทใด
ใช้อย่างไรและใช้เพื่ออะไร เป็นต้น นอกจากนี้
ครูในหลักสูตรนี้ย่อมให้ความสำคัญของการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารในวงการต่างๆ
ที่ใช้ในปัจจุบัน มากกว่าจะมุ่งไปที่โครงสร้างภาษาหรือไวยากรณ์ ในการจัดการเรียนการสอนก็จะเน้นการให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง
ในสถานการณ์จริงหรือใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด เช่น การฝึกเขียนจดหมายราชการ บันทึกข้อความ
การผลิตหนังสือ วารสารหรือสื่ออื่นๆ
การส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พูดในโอกาสต่างๆ
ในงานหรือกิจกรรมของโรงเรียน หรือการพัฒนาทักษะการฟังในสถานการณ์ต่างๆ
เป็นต้น หน้าที่หลักของครูตามทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มนี้ก็คือ
การจัดประสบการณ์หรือสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ผู้เรียนได้เข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลต่างๆ
คือ ได้จัดกระทำ
จำแนกแยกแยะและแก้ปัญหาเกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้ภาษาของตนเอง เช่น
ครูให้นักเรียนแสดงบทบาทสมมติโดยเลือกประเด็นในวรรณกรรมหรือวรรณคดีมากำหนดการแสดงบทบาท
ให้นักเรียนทำโครงงาน เช่น ผลิตสารคดีข่าวหรือ
สารคดีให้ความรู้ เป็นต้น
เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการแก้ปัญหาในการปฏิบัติงานด้านการสื่อสารในชีวิตประจำวัน
อันเป็นเรื่องใกล้ตัวของผู้เรียนและเป็นประสบการณ์ที่มีความหมายสำหรับเขา
2. ทฤษฎีหลักสูตรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของสังคม (social efficiency)
ทฤษฎีหลักสูตรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของสังคมเสนอโดย Bobbitt (1918, 1924) เขาได้เสนอแนวคิดที่แตกต่างจาก
Dewey ไว้ในหนังสือเรื่อง “The Curriculum”
(1918) และ “How to Make a Curriculum”
(1924) เพราะเขาได้เปรียบเทียบว่าการพัฒนาหลักสูตรก็คล้ายกับระบบการทำงานของโรงงานอุตสาหกรรม
การวางแผนใดๆ
เกี่ยวกับหลักสูตรจะต้องกำหนดโดยสภาพสังคมแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องธรรมชาติของผู้เรียน
ด้วยเหตุนี้ การศึกษาจึงเป็นไปเพื่อการเตรียมชีวิตในวัยผู้ใหญ่ (adult
life) มากกว่าการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะกับความเป็นเด็กในวัยนั้น
Bobbitt เสนอว่า ควรที่จะได้มีการวิเคราะห์งานหรือกิจกรรมที่ผู้ใหญ่ทำในปัจจุบัน
เพื่อนำมากำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ในโรงเรียน ด้วยเหตุนี้
เนื้อหาของหลักสูตรจึงประกอบด้วยส่วนที่เป็นความรู้และทักษะที่สำคัญในแต่ละวิชาชีพ
ทั้งนี้เพื่อเตรียมทรัพยากรบุคคลให้เข้าสู่แต่ละวิชาชีพ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยต่างๆ ในสังคม
ครูภาษาไทยที่ยึดถือและศรัทธาในทฤษฎีหลักสูตรแบบเพิ่มประสิทธิภาพสังคม จะให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ความรู้และทักษะภาษาที่จำเป็นสำหรับการประกอบวิชาชีพต่างๆ
ด้วยเหตุนี้
ครูจะต้องไปศึกษาในแต่ละอาชีพว่าต้องใช้ทักษะภาษาด้านเป็นพิเศษ เช่น วิชาชีพแพทย์ ทักษะภาษาที่สำคัญก็คือ การอ่านอย่างมีวิจารณญาณ (critical
reading) และการเขียนเชิงวิชาการ (academic
writing) วิชาชีพครู ทักษะภาษาที่สำคัญเช่น
การพูดต่อหน้าที่ประชุมชน (public speaking) การใช้คำถามระดับสูง
(high-order thinking) การเขียนความเรียงชั้นสูง (extended
essays) หรืออย่างวิชาชีพนักกฎหมาย ก็ต้องอาศัยความสามารถในการอ่านตีความ
การเจรจาและการโน้มน้าวใจ เป็นต้น เมื่อทราบแล้วว่า
ทักษะหรือความรู้ใดที่จำเป็นต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในแต่ละวิชาชีพ
ครูภาษาไทยก็จะต้องนำมากำหนดเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละช่วงวัย
เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของการใช้ภาษาให้ค่อยๆ ลุ่มลึกยิ่งขึ้น ข้อสังเกตประการหนึ่งของการใช้ทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มเพิ่มประสิทธิภาพของสังคมก็คือ
การไม่นำความสนใจ
ความต้องการหรือข้อมูลอื่นใดของผู้เรียนมาใช้ในการวางแผนหลักสูตร แต่จะมองที่การผลิตบุคคลเพื่อเข้าไปประกอบวิชาชีพทันที
แนวคิดนี้คล้ายกับการจัดการหลักสูตรในสถาบันที่สอนด้านธุรกิจศึกษาหลายแห่ง
ที่จัดหลักสูตรสำหรับการผลิตบุคลากรเข้าสู่ภาคธุรกิจหรือภาคอุตสาหกรรม
กลุ่มวิชาประเภทภาษาไทยธุรกิจ ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร
ภาษาไทยเพื่อการบริการ จึงเป็นตัวอย่างของการใช้กรอบแนวคิดของทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มเพิ่มประสิทธิภาพของสังคม
3.
ทฤษฎีหลักสูตรความต้องการของสังคมแบบเน้นเหตุผลและเทคนิค
(social needs-rational/technical)
ทฤษฎีหลักสูตรที่ทรงอิทธิพลต่อการพัฒนาหลักสูตรในปัจจุบัน
โดยส่วนใหญ่หากเป็นหลักสูตรระดับชาติมักจะใช้กรอบทฤษฎีหลักสูตรของกลุ่มที่ 3
คือกลุ่มที่เน้นความต้องการของสังคมแบบเน้นเหตุผลและเทคนิค
ทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มนี้มีแนวคิดสำคัญว่าหลักสูตรจะต้องมีความเป็นเหตุเป็นผลหรือได้รับการวางแผนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
ทุกส่วนหรือทุกองค์ประกอบของหลักสูตรจะต้องสามารถอธิบายและชี้แจงให้ชัดเจนได้ว่ากำหนดขึ้นเพราะเหตุใด
มีที่มาที่ไปอย่างไร
นักหลักสูตรที่เสนอให้ใช้แนวคิดวิทยาศาสตร์มาดำเนินการและตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรก็คือ
Tyler (1949) ซึ่งเสนอแนวคิดไว้ในหนังสือ “Basic
Principle of Curriculum and Instruction” (1949) เขาให้ความสำคัญกับการกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้อันเป็นเป้าหมายสุดท้าย
(ends) และวิธีการหรือเครื่องมือ (means) ที่นำไปสู่เป้าหมายนั้น ซึ่งอยู่ในรูปของเนื้อหา กระบวนการเรียนการสอนและการประเมินผล
แนวคิดของ Tyler มีความคล้ายคลึงกับแนวคิดของ Bobbitt
ตรงที่เห็นว่า
ความต้องการของสังคมเป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนและพัฒนาหลักสูตร อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่เขาเห็นต่างออกไปก็คือ ในการพิจารณาความต้องการของสังคมนั้น คงจะมิได้กำหนดจากการพิจารณาอาชีพหรือกิจกรรมในสังคมแต่เพียงอย่างเดียว
แต่จะต้องเปิดกว้างให้มีการใช้เทคนิคหรือวิธีการต่างๆ
ในการที่จะวินิจฉัยความต้องการจริงแท้ของสังคม ซึ่งอาจมีได้หลายๆ
อย่างนักหลักสูตรจำเป็นจะต้องสร้างสมดุลระหว่างความต้องการเหล่านั้น
เพื่อนำมาจัดการศึกษาให้แก่เยาวชน
ทั้งนี้จำเป็นจะต้องนำแนวคิดและทฤษฎีทางจิตวิทยาการเรียนรู้และปรัชญาการศึกษา
มาใช้กลั่นกรองความต้องการของสังคมด้วย อย่างไรก็ตาม
ก็มีผู้เสนอว่าแท้จริงแล้วแนวคิดของ Tyler อาจจะไม่ได้มีลักษณะเป็นทฤษฎีหลักสูตรมากนัก
เพราะเขาเพียงแต่ให้กรอบแนวคิดพื้นฐาน (basic framework) เกี่ยวกับการวางแผนหลักสูตรโดยทั่วๆ ไปเท่านั้น ภายหลังเมื่อมีการปรับแนวคิดของเขาไปใช้ เช่น ในกรณีของ Taba
(1962) ในหนังสือที่เธอเขียนเรื่อง “Curriculum
Development: Theory and Practice” (1962) เธอได้เสนอทฤษฎีการพัฒนาการคิดของผู้เรียนด้วยการวางแผนและออกแบบหลักสูตรที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด
โดยเธอได้ขยายแนวคิดของ Tyler เกี่ยวกับการออกแบบและตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
ว่าในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะพัฒนาทั้งด้านสติปัญญาและด้านอารมณ์หรือค่านิยมของผู้เรียน
หากมีการออกแบบที่ดีและมีการใช้เทคนิคการสอนเช่นการใช้คำถามเข้าไประหว่างการเรียนการสอน
การพัฒนาหลักสูตรและการสอนภาษาไทยตามทฤษฎีความต้องการของสังคมที่เน้นเหตุผลและเทคนิคนั้น
ปัจจุบันได้รับความนิยมและใช้กันมากเนื่องจากอิทธิพลของหลักสูตรผลผลิต เช่น หลักสูตร
อิงมาตรฐานและหลักสูตรอิงสมรรถนะ
ครูภาษาไทยที่ศรัทธาและเชื่อถือทฤษฎีในกลุ่มนี้
จะชื่นชอบต่อการกำหนดเป้าหมายสุดท้ายในลักษณะของมาตรฐาน
หรือผลการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ (desirable results) ซึ่งเป็นพฤติกรรมเกี่ยวกับการสื่อสารหรือการใช้ภาษาของผู้เรียนไว้ล่วงหน้า
และการกำหนดนั้นส่วนใหญ่จะไม่ได้มาจากตัวของครูเอง
แต่เป็นการกำหนดจากมาตรฐานการเรียนรู้ของชาติเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ สาระ การเรียนรู้ภาษาไทยที่ครูภาษาไทยกลุ่มนี้
(ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศ)
สอนให้แก่ผู้เรียนจึงเป็นสาระการเรียนรู้แกนกลางหรือสาระที่เป็นพื้นฐาน (core
knowledge) ที่ครูภาษาไทยมิได้กำหนดเอง แต่ได้อาศัยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาคัดเลือกและกำหนดขึ้น โดยมิได้ผ่านกระบวนการวิจัยทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ผลที่ตามมาก็คือ สาระการเรียนรู้เหล่านี้มิได้ตอบสนองต่อความแตกต่างของบุคคล
ความสนใจของผู้เรียนหรือเป้าหมายสำหรับการประกอบอาชีพอย่างหนึ่งอย่างใดในอนาคต
และส่วนใหญ่เป็นสาระ การเรียนรู้ที่แม้แต่ครูและนักเรียนน้อยคนนักที่จะทราบว่า
สอนหรือเรียนไปเพื่ออะไร ตัวอย่างเช่น ประโยคความซ้อน
ประโยคที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น คำภาษาต่างประเทศ (บาลีสันสกฤต)
วลีหรือกลุ่มคำ ฯลฯ เพราะหากจะพิจารณาถึงความสำคัญหรือประโยชน์ในทางปฏิบัติตามมิติทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มที่
2 จะเห็นว่า สาระการเรียนรู้เหล่านี้
นอกจากวิชาชีพนักภาษาศาสตร์แล้ว อาชีพอื่นใช้น้อยมากหรือแทบจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย
ส่วนในด้านการจัดการเรียนการสอนของทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มนี้
ก็จะเน้นที่การศึกษาและทำความเข้าใจเนื้อหาที่กำหนดไว้
มากกว่าที่จะนำมาจัดโครงสร้างเสียใหม่และส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการคิดหรือเกิดมโนทัศน์ตามแนวทางดั้งเดิมที่
Taba ได้เสนอไว้ และในช่วงท้ายของการเรียน
ครูก็จะต้องทดสอบว่าผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้หรือไม่
โดยครูจะแปลงความรู้ การปฏิบัติ
อารมณ์หรือความคิดของผู้เรียนซึ่งเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพให้เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ
สำหรับตัดสินและเปรียบเทียบผู้เรียนกับสมรรถนะของตนเองและผู้อื่น
ตลอดจนใช้เลื่อนระดับชั้น ทฤษฎีหลักสูตรของกลุ่มความต้องการของสังคมที่เน้นเหตุผลและเทคนิคจึงได้รับการวิพากษ์ว่า มุ่งตอบสนองวัตถุประสงค์ซึ่งมิใช้ความต้องการหรือความจำเป็นที่แท้จริงของแต่ละบุคคล
อย่างไรก็ตาม
ก็ได้มีการที่จะลดปัญหาด้วยการบูรณาการเนื้อหาหรือสาระการเรียนรู้แกนกลางกับกิจกรรมหรือประสบการณ์ที่ผู้เรียนมีในชีวิตประจำวัน
เช่น
การที่ครูให้ผู้เรียนวิเคราะห์พลังภาษาผ่านการตั้งชื่อบุคคลหรือสถานที่
การศึกษาโครงสร้างของประโยคในสื่อออนไลน์
เป็นต้น
นอกจากนี้ยังเสริมวิชาเลือกเสรีและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนในกลุ่มภาษาและการสื่อสารในบางสถานศึกษา
เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และพัฒนาการสื่อสารหรือการใช้ภาษาของตนเอง
ผ่านกิจกรรมหรือเนื้อหาที่ตนเองมีความสนใจเฉพาะ เช่น วิชาผู้ดำเนินรายการและพิธีกร
ชมรมวาทศิลป์ ชมรมวรรณศิลป์ ชมรมนักอ่าน
เป็นต้น
4.
ทฤษฎีหลักสูตรความต้องการของสังคมและการปฏิรูปโครงสร้าง (social
needs-reconstructionists)
ทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มความต้องการของสังคมและการปฏิรูปโครงสร้างสังคม
เกิดจาก นักหลักสูตร
อาทิ Hughes (1972) และ Skilbeck (1976) ซึ่งมีความเชื่อว่า
โรงเรียนมิได้มีหน้าที่ในการสืบทอดวัฒนธรรมหรือธำรงไว้ซึ่งสังคมแบบเดิม
ซึ่งเต็มไปด้วยปัญหาหรือมีแต่สิ่งที่ไม่พึงประสงค์อยู่มากมาย
หลักสูตรและการสอนในโรงเรียนจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีเป้าหมายเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดียิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
และการแสวงหาแนวทางแก้ไขสังคมจะไม่ใช้กรอบแนวคิดหรือคำถามที่ว่า เกิดอะไรที่ไม่ถูกต้องในตัวผู้เรียนของเรา
แต่จะต้องหันกลับมาถามว่า เกิดอะไรที่ไม่ถูกต้องในสังคมของเราแทน
ด้วยเหตุนี้ลักสูตรจะต้องสร้างขึ้นจากเนื้อหาและกระบวนการเรียนการสอนที่ตอบโจทย์ปัญหาสังคมในด้านต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ ชนชั้น การเอารัดเอาเปรียบ
การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ การแย่งชิงและการสร้างสงคราม เป็นต้น หลักสูตรจะต้องไม่หลีกเลี่ยงประเด็นหรือสถานการณ์ดังที่กล่าวมานี้
และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากปัญหาเป็นหลัก
ครูภาษาไทยที่ให้ความสำคัญกับประเด็นปัญหาหรือความขัดแย้งในสังคม
ไม่ว่าจะเป็นมิติของการเมือง การปกครอง สังคมและเศรษฐกิจ
และนำประเด็นเหล่านี้มาถกเถียง
วิเคราะห์และวิพากษ์ในชั้นเรียนเกี่ยวกับบทบาทของภาษาในกระบวนการสร้างปัญหาและการแก้ปัญหา
ย่อมเป็นครูภาษาไทยที่ยึดถือในทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มความต้องการของสังคมและการปฏิรูปโครงสร้าง
ครูภาษาไทยในกลุ่มนี้จะมีลักษณะที่มองกว้างและมิได้สอนภาษาในลักษณะวัฒนธรรมหรือความจำเป็นในการสืบทอดมรดกอย่างเช่นนักวิชาการด้านเนื้อหากระทำอยู่ในหลักสูตรกลุ่มที่
3 แต่เป็นการนำเนื้อหาทางภาษามากระตุ้นให้เกิดพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง ครูภาษาไทยจึงมีบทบาทสำคัญในการที่จะเป็น “นักปฏิรูป”
ที่ต้องการให้นักเรียนของตนมองเห็นปัญหาสังคม การเมือง เศรษฐกิจ
ผ่านเนื้อหาหรือกิจกรรมภาษาไทย และนำไปสู่
การสร้างแรงจูงใจหรือการนำตนเอง เพื่อลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่สภาพที่ดีกว่า ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ครูจะนำวรรณกรรมที่สะท้อนปัญหาหรือสภาพสังคม
มาเป็นเครื่องมือสำหรับกระตุ้นความคิดและ การนำไปสู่การสร้างสังคมที่ดีกว่า ตัวอย่างเช่น
การนำวรรรณกรรมประเภทบทวิจารณ์หรือบทวิพากษ์สังคมของนักคิดนักเขียน มาให้ผู้เรียนได้ศึกษาและแสดงความคิดเห็นว่า
เนื้อหาและน้ำเสียงของผู้เขียนก่อให้เกิดผลกระทบอย่างไรต่อสังคม
ผู้เขียนได้แสดงให้เห็นอคติ อันเป็นต้นเหตุให้เกิดความเกลียดชังหรือไม่ อย่างไร
และควรจะแก้ไขปรับปรุงการใช้ภาษาอย่างไร เพื่อให้คลายความขัดแย้ง สื่อหรือโฆษณาที่สะท้อนให้เห็นปัญหาของการครอบงำของระบบทุนนิยม
ก็เป็นเนื้อหาอีกส่วนหนึ่ง
ที่ครูภาษาไทยกลุ่มนี้จะต้องนำมาให้ผู้เรียนวิเคราะห์ด้วยกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
เพื่อให้เห็นเบื้องหลังของการโกหก การกล่าวเกินจริง อันเป็นต้นเหตุให้มีการล่อลวงหรือการใช้จ่ายทรัพย์สินที่มากเกินความจำเป็นของชีวิต
ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญของสังคมขณะนี้ อีกตัวอย่างหนึ่งเช่น
ครูนำกวีนิพนธ์ อาทิ “จงเป็นอาทิตย์เมื่ออุทัย”
ของ ทวีปวร มาให้ผู้เรียนศึกษา
เพื่อสะท้อนให้เห็นการเอารัดเอาเปรียบของผู้ใหญ่ที่กระทำต่อเยาวชน
และการสนับสนุนให้เยาวชนมีพลังใจที่จะลุกขึ้นมาสู้เพื่อสิทธิของตนเอง
หรือการให้ผู้เรียนอ่านนวนิยายเรื่อง “คำพิพากษา” ของ ชาติ กอบจิตติ
ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาการใช้จิตวิทยาสังคมในการบีบบังคับปัจเจกบุคคล
ให้ปฏิบัติตนภายใต้กรอบค่านิยม จริยธรรมหรือคุณธรรมเดิมๆ ซึ่งบางครั้งก็ไม่สามารถใช้ได้กับบางปรากฏการณ์ของชีวิต
โดยหลังจากที่ผู้เรียนอ่านแล้ว ครูจะต้องเชื่อมโยงให้เห็นปัญหาในลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นจริงในสังคม
และกำหนดประเด็นให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นหรือมุมมองใหม่ๆ
ต่อการแก้ปัญหาหรือการเสนอทางออกที่ดีกว่า เป็นต้น
การเรียนการสอนและการจัดประสบการณ์ด้านภาษาในทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มนี้
จึงค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับการปฏิรูป การแก้ไขปัญหาและการมองประเด็นทางสังคม
มากกว่าการมองไปที่ตัวภาษาในด้านความงดงามหรือการเป็นวัฒนธรรมอันควรยกย่อง
5. ทฤษฎีหลักสูตรเหตุผลเชิงปรัชญาและวิชาการ
(philosophical-academic rational)
ในยุคหลังมานี้
นักหลักสูตรได้หันกลับมาเสนอทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มที่เน้นเหตุผลเชิงปรัชญาและวิชาการ
หรือหลักสูตรที่ประกอบด้วยสาระความรู้และวิทยาการมากยิ่งขึ้น นักหลักสูตรในกลุ่มนี้ ได้แก่ Hirst (1965), Phenix
(1964) พวกเขาให้ความสำคัญกับการนำธรรมชาติของเนื้อหาวิชามาเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างและวางแผนเกี่ยวกับหลักสูตร
ไม่ใช่อิทธิจากการนำความต้องการของสังคมหรือบุคคลคือตัวผู้เรียนมาเป็นสิ่งกำหนด
และการเรียนสาระการเรียนรู้เหล่านี้
ซึ่งมีพื้นฐานจากปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (Essentialism) จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้บุคคลเกิดความเข้าใจภายใน แนวคิดทฤษฎีของกลุ่มนี้ จะสะท้อนให้เห็นจากเนื้อหาของหลักสูตรที่จะกำหนดสาระการเรียนรู้โดยพิจารณาจากตัววิชาเองว่า
มีเรื่องใดที่สำคัญและมีความลุ่มลึกพอที่จะนำมาศึกษาได้
การนำวิชาต่างๆ มาจัดไว้ในหลักสูตรมิได้เกิดจากการคิดว่า
ผู้เรียนจะนำวิชาที่เรียนไปใช้อย่างไร
แต่เกิดจากวิชาเหล่านั้นโดยตัวของวิชาเองมีความสำคัญที่ผู้เรียนจะต้องเรียนเพื่อเป็นสมาชิกในวัฒนธรรม
หรือเพื่อให้เกิดความเข้าใจความคิดต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น
การเรียนการสอนภาษาไทยในมิติของทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มนี้
จึงเป็นกลุ่มของครูภาษาไทยที่เห็นคุณค่าของภาษาไทยในเชิงวัฒนธรรมหรือเป็นมรดกของสังคม คุณค่าของภาษาไทยและเหตุที่นักเรียนจำเป็นจะต้องเรียนก็เพราะภาษาไทยเป็นอารยธรรมและเป็นภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษได้สร้างขึ้น
ครูภาษาไทยกลุ่มนี้จะเห็นคุณค่าของภาษาในฐานะสิ่งที่เป็นอมตะและไม่เปลี่ยนแปลง
ด้วยเหตุนี้ หากภาษามีการเปลี่ยนแปลง (ซึ่งเป็นเรื่องปกติ) ครูภาษาไทยกลุ่มนี้จะออกมาดำเนินการเพื่อธำรงไว้ซึ่งหลักการที่ถูกต้อง
สิ่งนี้ส่งผลให้ไปสู่การเรียนการสอน เพราะครูกลุ่มนี้มองว่า “ภาษาถูก” และ “คนผิด” การเรียนรู้ภาษาหรือการพัฒนาทักษะการสื่อสารจะมีสิ่งที่เป็นมาตรฐานสูงสุดหรือถูกต้องอยู่แล้ว
ตามความคิดของครูและนักเรียนทุกคนจะต้องพัฒนาตนเองเพื่อไปสู่เป้าหมายหรือมาตรฐานนั้นทุกคน
โดยครูจะไม่สนใจว่ากระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นคืออะไร ผู้เรียนจะเรียนรู้เนื้อหานั้นด้วยวิธีการใดหรือยุทธศาสตร์ใด
แนวคิดนี้ได้รับการนำไปผสมกับทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มที่ 3 ทำให้เกิดแนวคิดมาตรฐานการเรียนรู้ด้านเนื้อหาและมาตรฐานด้านทักษะการสื่อสาร
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การกำหนดวรรณคดีมรดกให้นักเรียนได้ศึกษา
ทั้งนี้ด้วยการให้เหตุผลว่า เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจความคิด
ค่านิยมและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ
ซึ่งก็คือแนวคิดของการให้คุณค่าของมรดกวัฒนธรรมนั่นเอง กรอบแนวคิดของทฤษฎีหลักสูตรทั้ง 5 กรอบแนวคิดที่ผ่านมา
แสดงให้เห็นว่า หากครูภาษาไทยมีความเชื่อเกี่ยวกับหลักสูตรว่าควรเป็นอย่างไร
การเรียนการสอนของครูภาษาไทยผู้นั้นก็ย่อมแปรไปตามกรอบทฤษฎีด้วย ปัญหาสำคัญที่เราพบจากการใช้หลักสูตรภาษาไทยอยู่ ณ ขณะนี้คือ
ความขัดแย้งกันระหว่างกรอบแนวคิด (conflict paradigm) เพราะผู้กำหนดหลักสูตรในระดับภาครัฐใช้แนวคิดของทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มที่
3 และ 5 ทำให้หลักสูตรภาษาไทยบรรจุไว้ซึ่งเนื้อหาทั้งส่วนที่เป็นความรู้และทักษะที่เกิดจากการนำสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
และกรอบแนวคิดมรดกทางวัฒนธรรมมาเป็นตัวกำหนดหลักสูตร
แต่ในขณะที่วงการการสอนภาษาไทยสนับสนุนให้ใช้กรอบทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มที่
1 และ 4 หรือการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเพื่อสร้างสังคมใหม่
ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมและเลือกทางเดินในการพัฒนาการเรียนรู้ของตนเอง
ตลอดจนจะต้องตระหนักถึงการปรับเปลี่ยนสังคมให้ดีขึ้น ดังนั้นการได้เลือกตามความสนใจกับการต้องสอนในสิ่งที่กำหนดไว้
ย่อมเกิดอุปสรรคในหลายประการ แนวทางที่เรายังแสวงหาขณะนี้ คือ การสร้างความสมดุล แต่คำถามที่กำหนดต่อไปก็คือ
การสร้างความสมดุลนั้นควรใช้เกณฑ์ใดและใครควรเป็นผู้กำหนด
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ครูภาษาไทยเข้าใจตนเองและเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการพัฒนาหลักสูตรและการสอนของตนเองและของชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น